อาชีพเลี้ยงกบ: อุปสรรค การเรียนรู้ และความยั่งยืน ของ SME วิถีชุมชน ของลุงอ๊อด

อาชีพชาวบ้านท่าลาดในปัจจุบันมี 3 ลักษณะ คือ 1.ทำนาเลี้ยงวัว 2 การเป็นแรงงานนอกระบบหรือที่เรียกว่ารับจ้างทั่วไป และ 3 ค้าขายหรือประกอบกิจการส่วนตัว แม้อาชีพทำนาจะไม่สามารถทำรายได้ได้ดี เพราะปัญหาราคาข้าวตกต่ำ หนำซ้ำยังก่อเกิดหนี้สินจากการซื้อปุ๋ยซื้อยาฆ่าแมลง แต่ชาวบ้านก็ยังทำนาเพราะการทำนาคือส่วนหนึ่งของชีวิต ส่วนอาชีพรับจ้าง ก็ถือว่าสามารถนำรายได้มาจุนเจือครอบครัวในชีวิตประจำวันได้ดี ในขณะที่อาชีพเลี้ยงวัวขายนี้เป็นอาชีพยอดฮิตในปัจจุบันของชาวบ้านซึ่งสามารถสร้างเงินก้อนโตให้กับชาวบ้านได้เลย แต่กว่าจะได้เงินก้อนโตจากการขายวัวก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าวัวจะโตจนสามารถขายได้ราคาดี ในขณะที่อาชีพทำกิจการส่วนตัวเช่น ค้าขาย ก็มีให้เห็นในหมู่บ้านแต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะว่าต้องมีเงินลงทุนพอสมควร และก็ตลาดหรือลูกค้าก็เป็นเพียงคนในชุมชน จึงมีลักษณะค้าขายพอได้อยู่ได้กิน ไม่ถึงกับมีกำไรมากมาย

ลุงอ๊อดกับลูกชาย กำลังใจที่ยิ่งใหญ่

อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรโดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ไว้ขาย ไม่มีเพียงการเลี้ยงวัวอย่างเดียว ตอนนี้ได้มีบางคนหันมาทดลองเลี้ยงกบเพื่อขายลูกกบไปประกอบเป็นอาหารเมนูอร่อยของชาวอีสาน ซึ่งกลุ่มลูกค้าก็เป็นคนในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง ในหมู่บ้านท่าลาดนี้ ลุงอ๊อด เป็นคนหนึ่งที่ได้ลองเลี้ยงกบขายลูกกบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลุงเองก็ไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นการลองผิดลองถูก ความสำเร็จและความผิดหวัง จึงเป็นประเด็นที่ผู้เขียน สนใจใคร่รู้ ถึงการต่อสู้ ความอดทนและมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพเลี้ยงกบของลุงอ๊อดคนนี้

จุดเริ่มต้นแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงกบ
ลุงอ๊อดเคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จนเมื่อถึงคราวใกล้เกษียณอายุราชการ จึงเกิดความวิตกกังวลว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตและครอบครัวซึ่งต้องดูแลบุตรชายสองคนและภรรยา การพูดคุยหาแนวทางกับลุงมิตรซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเช่นเดียวกัน โดยลุงมิตรได้แนะนำว่า “ลองเลี้ยงกบขายดูสิ รายได้ดีมีตลาดรองรับ” ซึ่งครั้งหนึ่งลุงมิตรเคยไปดูงานมาแล้วในช่วงที่รับราชการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นเมื่อเกษียณอายุจากการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลุงอ๊อดจึงเริ่มต้นทำอาชีพเลี้ยงกบขายลูกกบ โดยมีเงินลงทุนจากเงินที่เก็บออมไว้ในช่วงเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประจวบกับมีพื้นที่นามีน้ำคลองใหญ่ผ่าน เห็นว่าเหมาะแก่การเลี้ยงกบขาย

ฟาร์มกบลุงอ๊อด

ความสำเร็จและความผิดหวัง
ในปีแรกถือเป็นการเริ่มต้นเล็กๆและไปได้สวย แม่พันธุ์พ่อพันธุ์กบมีลูกกบออกมาและสามารถขายลูกกบได้เรื่อยๆ สร้างรายได้และกำลังใจให้กับลุงอ๊อดและครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่ต่อมาเมื่อปีที่ สอง ซึ่งเป็นปีที่ลุงอ๊อดและครอบครัวเกิดความหดหู่ท้อแท้ใจ อันเนื่องจาก ลูกกบที่โตได้เพียง 13 วัน ทั้ง 7 คอกกลับนอนตายลอยบนน้ำ ความสูญเสียครั้งนี้ประมาณ 7 หมื่นบาทซึ่งถือว่ามากพอสมควร ลุงอ๊อดและครอบครัวรู้สึกเสียใจและท้อแท้ใจอย่างมาก และไปปรึกษากับญาติๆว่า จะไม่ทำแล้วสำหรับอาชีพเลี้ยงกบนี้

กำลังใจให้สู้ต่อ
ความเครียด ความเสียใจและพลังใจในการที่ทำอาชีพเลี้ยงกบ ค่อยๆหมดลงไปเรื่อยๆ จนมีอยู่วันหนึ่งในช่วงเวลาของการทานอาหารเย็นร่วมกันของครอบครัว น้องแมคซึ่งเป็นลูกชาย ก็พูดขึ้นว่า “เรามีเงินใช้ก็เพราะเลี้ยงกบขาย ถ้าเราหยุดไม่ทำต่อเราจะทำอะไรกิน” คำพูดนี้ ทำให้ลุงอ๊อดหวนกลับไปดูวันเริ่มต้นดีๆในปีแรกที่เขาขายลูกกบได้ดี และลืมปีที่สองซึ่งเป็นปีที่ลูกกบตายพร้อมกัน 7 คอก พร้อมกับเห็นแววตาที่น่าสงสารของลูกและภรรยา ลุงอ๊อดเลยพูดกับครอบครัวว่า “ เอาหละไม่เลิกก็ไม่เลิก”

ครอบครัวคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ในการก้าวต่อไป

หลังจากนั้นการเรียนรู้เพื่อแสวงหาวิธีแก้ปัญหาลูกกบตายก็เริ่มขึ้น ลุงอ๊อดได้ไปสอบถามกับชาวบ้านคนอื่นๆในหลายๆหมู่บ้านที่เลี้ยงกบว่าปัญหาลูกกบตายนี้จะแก้ไขอย่างไร ซึ่งสรุปได้ว่า สาเหตุเกิดจากแม่พันธุ์พ่อพันธุ์กบที่แก่ ส่งผลต่อความไม่แข็งแรงของลูกกบ เมื่อเป็นดังนั้นลุงอ๊อดจึงได้ขายกบที่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่แก่แล้ว และซื้อแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์กบที่มีอายุที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดลูกกบที่มีสุขภาพเเข็งแรง และไม่ประสบปัญหาลูกกบตายอีกต่อไป

น้องแมค กับน้องมาร์ค กำลังมีความสุขกับฟาร์มกบ และการซึมซับความเป็นลูกชาวนาอย่างภาคภูมิใจ

ความผิดหวังในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญในการประกอบอาชีพเลี้ยงกบของลุงอ๊อด แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว และภาพแห่งความสำเร็จที่ลุงอ๊อดเคยประสบมา สามารถสร้างพลังใจที่จะดำเนินกิจการนี้ต่อไป จนขณะนี้มีบ่อกบเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

เปิดรับเครือข่าย เพื่อขยายฐานการตลาด
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ความโชคดีได้เดินทางมาถึงครอบครัวลุงอ๊อด เมื่อทางอำเภอได้ไปสำรวจหมู่บ้านต่างๆเพื่อที่จะหาพื้นที่ทดลองโครงการปลูกข้าวโพด เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบให้กับเกษตรกร หันมาปลูกข้าวโพดหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งพื้นที่นาลุงอ๊อดได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่ทดลองเพราะมีแหล่งน้ำคลองไหลผ่าน รวมถึงการมีความคุ้นเคยกับข้าราชการในที่ว่าการอำเภอพังโคน ในสมัยที่ลุงอ๊อดเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โครงการทดลองปลูกข้าวโพดของทางราชการซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาลนั้นลุงอ๊อดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด กระบวนการต่างๆตั้งแต่การเตรียมดิน เมล็ดพันธุ์ และค่าจ้างสำหรับดำเนินการเตรียมดินและหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดได้รับการสนับสนุนจากทางราชการ ลุงอ๊อดลงทุนแค่แรงกาย ดูแลน้ำและวัชพืช ผลผลิตต่างๆก็เป็นของลุงอ๊อดที่จะสามารถนำไปขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เลยโดยไม่ต้องหักให้กับทางราชการ

การเตรียมพื้นที่ปลูกข้าวโพด

ในช่วงการเปิดโครงการใหม่ๆ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรได้เดินทางมายังบ้านลุงอ๊อดเพื่อเปิดงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเจอในหมู่บ้านที่จะมีรัฐมนตรีเดินทางมายังหมู่บ้านท่าลาดซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แน่นอนการเดินทางมาของบุคคลระดับประเทศ ย่อมมีผู้ร่วมติดตามทั้งจากกรุงเทพ และข้าราชการในเขตจังหวัดสกลนคร เพื่อมาดูแปลงข้าวโพดซึ่งเป็นโครงการของรัฐ ผลพลอยได้จากโครงการนี้ ทำให้กิจการเลี้ยงกบขายมีออเดอร์เพิ่มมากขึ้น และมีคนมาดูงานที่ฟาร์มกบลุงอ๊อดอยู่เรื่อยๆ ส่งผลดีต่อการขยายฐานการตลาดให้กว้างมากขึ้น
ความผิดหวังหรือสมหวังก็เป็นของไม่แน่นอนแต่การสร้างและให้กำลังใจตนเองและคนรอบข้างเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า สำหรับท่านใดสนใจที่จะไปศึกษาดูงานและศึกษาเรียนรู้กระบวนการทำอาชีพเลี้ยงกบจากลุงอ๊อด สามารถเข้าชมได้ทุกวัน

ผู้เขียนเองรู้สึกยินดีที่เห็นชาวบ้านหันมาสร้างงานสร้างเงินในหมู่บ้านตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนมาขายแรงงานที่กรุงเทพซึ่งคุณภาพชีวิตดีน้อยกว่าการอยู่กับครอบครัวในหมู่บ้านที่แสนอบอุ่น ขอเป็นกำลังใจให้ลุงอ๊อดและครอบครัวต่อไป

ASEAN Reviews “มองอาเซียนใหม่ให้เข้าใจกว่าเดิม” EP1

ศูนย์อาเซียนศึกษาขอเชิญทุกท่านรับฟังรายการ Asean Reviews “มองอาเซียนใหม่ให้เข้าใจกว่าเดิม” (ep.1)

เเขกรับเชิญพิเศษ อาจารย์ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์
สัมภาษณ์โดย นางสาวมุกรวี ฉิมพะเนาว์

___
ขอบคุณ :

ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต : พระศรีธวัชเมธี, พระสุธีรัตนบัณฑิต,รศ.ดร., พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร.,พระมหาบัณฑิต ปณฺฑิตเมธี
ประธานดำเนินการ : พระมหาจีรวัฒน์ กนฺตวณฺโณ,ผศ.ดร., ดร.ลำพอง กลมกูล
ตัดต่อ : พระบารมี นนฺทธมฺมิโก,ถาวรา,พระมหาเกรียงศักดิ์ อินฺทปญฺโญ,ดร. พระมหาวัชระ โสมา, พระมหาปิยะนัฏ โสมา, พระสมพร ปสนฺโน, LG,JIB

สถานที่ : วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร (IBSC)

เรื่องเล่าชาวมจร กับวิถี New normal สู่การสร้างตลาดออนไลน์

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการใช้ชีวิตประจำวัน หลายธุรกิจต้องปิดกิจการลงหรือปรับเปลี่ยนช่องทางการดำเนินงานเป็นรูปแบบ work from home เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานโดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง สิ่งเหล่านี้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่มีบทบาทต่อการดำรงชีวิตมากยิ่งขึ้น ผลกระทบและมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไทย ธุรกิจขายของออนไลน์ หรือ ecommerce เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงปรับเปลี่ยนวิธีการค้าโดยเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ทั้งการขายออนไลน์ การโปรโมทร้านค้าและสินค้าผ่านสื่อ โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ผู้บริโภคได้มองเห็นร้านค้าหรือสินค้าของตนและเป็นหนทางที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอดได้ ภายใต้ความเป็นกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื่อไวรัส Covid-19 นี้จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมและเริ่มขยายตัวมากขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภคและธุรกิจอาหารแบบ Food delivery ที่ผู้บริโภคสามารถสั่งอาหารผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Grab Food, Lineman และ Food Panda เป็นต้น

          ผลกระทบจาก Covid-19 นี้ ทำให้เกิดภาวะการชะงักงันทางเศรษฐกิจ ประชาชนมีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นแต่มีรายได้คงที่หรือลดลง ประชาคมชาวมหาจุฬาเองก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในครั้งนี้ จึงเกิดแนวคิดในการจัดตั้งกลุ่ม “MCU Market Place :  ตลาดนัด มจร” ขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้และช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ชาวประชาคมมจร

คุณธนิศร์ มีชื่อ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองแผนงาน สำนักงานอธิการบดี มจร หนึ่งในทีมงานผู้ก่อตั้ง MCU Market Place ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ในการจัดตั้งกลุ่มตลาดนัดออนไลน์ก็เพื่อเป็นช่องทางการหารายได้เสริมให้แก่ประชาคมชาวมจร ด้วยการใช้ Social media เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์สินค้า โดยบางส่วนมีร้านค้าของตนเองอยู่แล้วแต่ขาดการประชาสัมพันธ์ กลุ่ม MCU Market Place จะเป็นช่องทางในการอำนวยความสะดวกในการซื้อ-ขายสินค้าได้มากขึ้น สินค้ายอดนิยมในกลุ่มจะเป็นสินค้าด้านอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่ม รองลงมาคือสินค้าด้านความงามและสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป โดยใช้วิธีการ Pre- order แล้วจึงจัดส่งสินค้าตามรายการ ซึ่งมีความสะดวกเนื่องจากผู้รับสินค้าอยู่ภายในองค์กรเดียวกัน

“ในระยะเริ่มแรก กลุ่มเป้าหมายจะเริ่มจากชาวมจร ส่วนกลางก่อนและจะขยายไปสู่ชาวมจรที่อยู่ตามวิทยาเขตและวิทยาลัยสงฆ์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายทางการค้าและขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมมากที่สุด สำหรับตอนนี้สิ่งที่ต้องเร่งในการปรับปรุง MCU Market Place คือการทำกราฟฟิคและการโปรโมตกลุ่มให้มีความน่าสนใจ การมีส่วนร่วมของบุคลากร หน่วยงานต่างๆในมจร รวมถึงการวางแผนการตลาดให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน”

คุณธนิศร์ ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “กลุ่ม MCU Market Place นี้ต้องการให้บุคลากรชาวมจร ได้ค้นหาตนเอง เปิดโอกาสให้กับตนเองได้พัฒนาฝีมือ พัฒนาและใส่ใจคุณภาพของสินค้า และใช้ช่องทางนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่ตามกระแสแต่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะจุดมุ่งหมายของกลุ่มต้องการพัฒนาและขยายให้เป็นเครือข่ายการตลาดออนไลน์ในระดับประเทศ”

อย่างไรก็ตาม ช่องทางการตลาดออนไลน์ในสถานการณ์วิกฤติ Covid-19 และการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่หรือ New Normal ที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่ได้พัฒนาตนเอง แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงนอกจากกลยุทธ์หรือแผนการตลาดที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าและความใส่ใจในการบริการ เนื่องจากภายใต้สภาวะ New normal แม้จะกระตุ้นให้การค้าออนไลน์เป็นที่นิยมและมีแนวโน้มเติบโตขึ้น แต่อย่าลืมว่า ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนต่างก็เล็งเห็นถึงช่องทางนี้เช่นกัน ดังพ่อค้าแม่ค้าหน้าใหม่จึงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและยากลำบากมากขึ้น ดังนั้น หากต้องการมัดใจผู้บริโภคและต้องการให้สินค้าของตนครองพื้นที่การตลาดอย่างถาวร ผู้ค้าควรพัฒนาตนเอง พัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์สินค้าให้มีเอกลักษณ์ตรงตามความต้องการ รวมถึงศึกษาหาข้อมูล ทำความเข้าใจช่องทางการค้า เทรนหรือความนิยมของผู้บริโภคว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ทำอย่างไรจึงจะสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค รักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มลูกค้าใหม่ให้ได้มากที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้

มุกรวี ฉิมพะเนาว์

ศูนย์อาเซียนศึกษา มจร

ศูนย์อาเซียนศึกษากับการพัฒนาเยาวชนอาเซียน

ศูนย์อาเซียนศึกษากับการพัฒนาเยาวชนอาเซียน

โดย มุกรวี ฉิมพะเนาว์

     โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารงานทางพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ 2562 ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้นำคณะผู้บริหาร คณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยจากส่วนกลาง วิทยาเขตและวิทยาลัยสงฆ์จำนวนทั้งสิ้น 11 รูป/คน เดินทางไปยังโรงเรียน SYI หรือ School of Youth Improvement หรือให้ชื่อภาษาไทยว่า โรงเรียนยุวพัฒน์ SYI เมืองเชียงตุง สหภาพเมียนมาร์เพื่อทำกิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่เด็กนักเรียนที่นั่น

    สำหรับโรงเรียนยุวพัฒน์ SYI เป็นโรงเรียนเอกชนที่จัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ก่อตั้งในปีค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) โดยพระภิกษุชาวไทใหญ่ คือ Venerable Zaw Ti Ka ท่านเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าอาวาส โดยโรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่วัดยางปู (Yang Boo Monastery) เมืองเชียงตุง รัฐฉาน สหภาพเมียนมาร์ เป็นโรงเรียนกินนอนหรือโรงเรียนประจำ นักเรียนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเหมือนเป็นพี่น้อง นักเรียนทุกคนจะต้องแบ่งกลุ่มผลัดเวรประจำวัน ช่วยกันรับผิดชอบในเรื่องของการทำความสะอาด การทำอาหาร ปลูกผัก ให้อาหารสัตว์และเรียนหนังสือร่วมกัน เวลาว่างของเด็กๆ จะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นฟุตบอล เล่นดนตรี ร้องเพลง หรือจับกลุ่มอ่านหนังสือ โดยการเรียนที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ การเรียนด้านวัฒนธรรมไต หรือภาษาไต วัฒนธรรมประเพณีชีวิต รวมไปถึงเอกลักษณ์ของคนไต หลักสูตรมีระยะเวลา 8 เดือนและใช้การสื่อสารภาษาอังกฤษตลอดหลักสูตร ซึ่งตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน มีนักเรียนที่เข้าเรียนและจบหลักสูตรจากโรงเรียนแห่งนี้มาแล้วมากกว่า 1,090 คน โดยแนวทางการจัดการศึกษาของท่านเจ้าอาวาสได้เน้นในเรื่องของคุณภาพทั้งการอ่าน การเขียนและการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ

ศูนย์อาเซียนศึกษา รู้จักโรงเรียนแห่งนี้จาก ท่านจ้าว คำแลง พระภิกษุไทใหญ่ที่เข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปัจจุบันท่านสำเร็จการศึกษาแล้วและได้ใช้ความรู้ที่ได้ศึกษากลับไปพัฒนาบ้านเกิด อีกคนหนึ่งคือมอนแก้ว หญิงสาวชาวไทใหญ่ที่มีความสามารถทางด้านภาษา มอนแก้วสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ จีน พม่าและไทย และคุณครู Kham Kyar ซึ่งเป็นผลิตผลของโรงเรียน SYI และเป็นผู้สอนในปัจจุบัน จากคำบอกเล่าของทั้งสามท่าน ทำให้ศูนย์อาเซียนศึกษาเกิดความคิดที่จะร่วมพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อเป็นการพัฒนาเยาวชนที่โรงเรียนแห่งนั้น โดยถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของศูนย์อาเซียนศึกษา ที่มีหน้าที่บริการวิชาการ วิจัย พัฒนา และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและอาเซียน การพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชนในโรงเรียน SYI นี้ ถือเป็นการพัฒนาเยาวชนอาเซียนในรัฐฉาน สหภาพเมียนมาร์ ประเทศสมาชิกอาเซียนและเพื่อนบ้านของไทยที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ศูนย์อาเซียนศึกษา แม้จะเป็นหน่วยงานเล็กๆ แต่ก็ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาคมอาเซียนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน จึงได้นำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารงานทางพระพุทธศาสนาและการวิจัยเป็นฐานในการจัดกิจกรรมด้วยการเชิญผู้บริหารระดับต้นและระดับกลาง คณาจารย์ และบุคลากรของมหาวิทยาลัย มาร่วมกันระดมความคิดและแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่โรงเรียน SYI แห่งนี้

จากการระดมความคิด ศูนย์อาเซียนจึงได้ข้อสรุปในการจัดโครงการในรูปแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมอาเซียน ในหัวข้อ A Workshop Project of Cross Cultural Administration: A Case Study of Keng Tung, Union of Myanmar หรือแปลเป็นไทยว่า กิจกรรมเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการข้ามวัฒนธรรม: กรณีศึกษาเมืองเชียงตุง สหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 19 – 23 มีนาคม 2562 ซึ่งก่อนเดินทางไปจัดกิจกรรม ดร.ลำพอง กลมกูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยสารสนเทศและบริการวิชาการ ศูนย์อาเซียนศึกษา ได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่ เก็บข้อมูล ประสานงานและพูดคุยกับคุณครูและนักเรียนที่นั่นมาก่อนแล้ว จึงทำให้การจัดโครงการและสานต่อกิจกรรมดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

ผู้บริหาร คณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เดินทางไปยังโรงเรียน SYI จากด่านแม่สาย จังหวัดเชียงราย ข้ามฝั่งไปยังท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมาร์ การเดินทางใช้รถตู้จำนวน 1 คัน จากท่าขี้เหล็ก เดินทางต่อไปยังเชียงตุง ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง เส้นทางถนนมีความคดเคี้ยว ลัดเลาะไปตามภูเขา ระหว่างทางพบด่านตรวจของทหารเมียนมาร์และหมู่บ้านอยู่เป็นระยะๆ ได้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในแบบชาวเมียนมาร์และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งนี้ การเดินทางของทีมงานเป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากมีมอนแก้วเป็นผู้อำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและประสานงานวิทยากรท้องถิ่นให้เป็นผู้ดูแลทีมงาน เนื่องจากทางคณะได้เดินทางไปแบบนักท่องเที่ยวซึ่งตามระเบียบการเดินทางเข้าไปยังเมียนมาร์กำหนดให้การเดินทางในลักษณะนี้ต้องทำการจ้างวิทยากรท้องถิ่นในระหว่างการเดินทางด้วย ทีมงานเดินทางถึงเมืองเชียงตุงในช่วงเย็นของวันที่ 19 แม้ว่าฟ้าจะค่อนข้างมืดแล้ว แต่ก็ยังเห็นได้ถึงรูปแบบของสถาปัตยกรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วมีส่วนคล้ายกับทางภาคเหนือของประเทศไทย

      “เชียงตุง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐฉานของสหภาพเมียนมาร์ เป็นเมืองของชาวไทเขินและชาวไทใหญ่ ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่ากับเมืองเชียงใหม่แห่งอาณาจักรล้านนาไทย และเมืองเชียงรุ่งแห่งสิบสองปันนา ชาวไทใหญ่เรียกชื่อเมืองนี้ว่า เก๋งตุง”

      ในอดีตเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการค้าเชื่อมต่อระหว่างสิบสองปันนากับล้านนาและมีพ่อค้าชาวจีนฮ่อเดินทางค้าขายในเส้นทางนี้ เชียงตุงได้รับสมญานามว่าเมืองแห่ง 3 จอม 9 หนอง 12 ประตู โดย เมืองแห่ง 3 จอมนั้น คำว่าจอม หมายถึง เนินเขา ประกอบด้วย จอมทองหรือจอมคำ ที่ตั้งของวัดพระธาตุจอมคำ จอมมน ที่ตั้งของพระธาตุจอมมน และจอมสัก เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวเขาเผ่าอีก้อ ส่วน 9หนองนั้น ก็คือหนองน้ำในเมืองเชียงตุงนั่นเอง ได้แก่ หนองตุง หนองโตง หนองเย หนองแล้ง หนองยาง หนองโป่ง หนองเข้ หนองไค้และหนองตาช้างสุดท้ายคือเมืองแห่ง 12 ประตูนั้น มาจากประตูเมืองในเชียงตุง ได้แก่ ประตูป่าแดง ประตูเชียงลาน ประตูง่ามฟ้า ประตูหนองผา ประตูแจ่งเมือง ประตูยางคำ ประตูหนองเหล็ก ประตูน้ำบ่ออ้อย ประตูยาง ประตูไก่ให้ม่าน ประตูผายั้ง ประตูป่าม่าน แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 2 ประตู คือประตูป่าแดงและประตูหนองผา นอกจากนี้ ตามตำนานและประวัติศาสตร์นั้น เชียงตุงกับล้านนามีความเกี่ยวเนื่องและผูกพันกันอย่างใกล้ชิดจนแทบแยกไม่ออก เพราะผู้ทรงสถาปนาอาณาจักรล้านนาและเขมรัฐนครเชียงตุงนั้นก็คือพระญามังราย จึงส่งผลให้ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และอุปนิสัยของชาวไทเขินซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในเชียงตุงกับชาวไทยวนของล้านนามีความคล้ายคลึงกัน โดยชาวไทเขินใช้อักษรไทเขิน พระสงฆ์จะจารอักษรไทเขินลงบนใบลานหรือที่เรียกว่า “พับสา” ถือเป็นภาษาที่ 1 ของชาวไทเขินไม่ว่าจะเขียนหรือพูด และอาจจะมีศัพท์เฉพาะของไทใหญ่ปะปนด้วย เมืองเชียงตุงมีสินค้าของจีนแดงเข้ามาวางขายรวมกับสินค้าท้องถิ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนสภาพบ้านเรือนจะนิยมสร้างบ้านชั้นเดียว มีกาแลหรือแปพ๊ะเพื่อความเป็นสิริมงคลและทุกบ้านจะมีไม้ดับเพลิงที่ใช้ตีให้ไฟดับเมื่อเกิดอัคคีภัยร่วมกับการใช้น้ำสาดอยู่ที่หน้าบ้านทุกหลัง สิ่งนี้ถือเป็นภูมิปัญญาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวเชียงตุง

กลับมาที่การพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษของโรงเรียน SYI สาระสำคัญในภาพรวมคือ ลักษณะของการพัฒนาหลักสูตรที่จะมุ่งไปที่เป้าหมายของหลักสูตร สมรรถนะที่สำคัญและขอบเขตเนื้อหาอันเป็นกรอบในการพัฒนาหลักสูตร การจัดการศึกษาของโรงเรียน SYI ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี     ผู้บริหาร ครูและนักเรียนในฐานะผู้ใช้หลักสูตรจึงได้ทบทวนและร่วมคิดเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตร จากการแลกเปลี่ยนความคิดจึงเป็นที่มาของการพัฒนาหลักสูตรที่ไม่ใช่การสอนตามหนังสือในแบบเดิม แต่ต้องเน้นไปในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์หรือพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 ด้วยภาษา โดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาเยาวชน มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชน ซึ่งการลงทุนในคนผ่านการศึกษานับเป็นการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ ความรู้ที่สั่งสมอยู่ในคนเหล่านี้จะเป็นกลไกที่ทำให้เกิดการพัฒนาในอนาคต ทั้งนี้ ทางคณะทีมงานได้เดินทางไปยังวัดยางปู (Yang Boo) อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียน ด้วยการต้อนรับของท่านจ้าว คำแลง และคุณครู Kham Kyar ศูนย์อาเซียนศึกษาได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนของโรงเรียน SYI ในรูปแบบของการเล่นเกม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในลักษณะ Learning and Sharing ควบคู่ไปกับการสอดแทรกเนื้อหาด้านวัฒนธรรม เกร็ดความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนและพระพุทธศาสนาให้กับเด็กๆ ผลจากการจัดกิจกรรมคือเด็กนักเรียนมีความสนใจ มีความกระตือรือร้นและสนุกสนานกับการเรียนภาษาอังกฤษ และสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริง นับได้ว่าเป็นสิ่งยืนยันในเรื่องของประสิทธิภาพของการปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนทั้งคนไทใหญ่ในเชียงตุงและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง การจัดโครงการในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของศูนย์อาเซียนศึกษา ที่นอกจากจะได้ทำตามพันธกิจหลักในการบริการวิชาการแล้ว ยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประชาคมอาเซียนต่อไปในอนาคต ซึ่งศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน่วยงานเล็กๆแห่งนี้จะขอเป็นผู้สนับสนุนและขอร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงในการให้บริการวิชาการ วิจัย พัฒนาสารสนเทศน์และองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและประชาคมอาเซียนให้แก่พลเมืองของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อไปตามโอกาสเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กลวิธีการลำกลอน หมอลำฉวีวรรณ พันธุ

หมอลำเกิดจากการเทศน์ เกิดจากพิธีกรรม และเกิดจากการเกี้ยวพาราสี ระหว่างหนุ่มสาว ประเภทของหมอลำแบ่งออกได้ ๖ ประเภท คือ หมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน และหมอลำซิ่ง ทำนองการลำกลอนหมอลำฉวีวรรณ พันธุ ที่ใช้ในการแสดง มี ๖ ทำนองที่ คือ ทำนองลำทางสั้น ทำนองลำทางยาว ทำนองเต้ยธรรมดา ทำนองเต้ยโขง ทำนองเต้ยพม่ารำขวาน และทำนองเต้ยหัวโนนตาลเป็นทำนองที่ใช้ในการลำประกอบการแสดง

เรียงเรียงจาก : กลวิธีการลำกลอน หมอลำฉวีวรรณ พันธุ

นักวิจัย : ราชันย์ เจริญแก่นทราย

สนับสนุนกาวิจัยโดย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดาวน์โหลดฉบับสมบรูณ์ ; DigitalFile#1_481898

อัตลักษณ์กับการท่องเที่ยว : ศึกษาการนำอัตลักษณ์มาใช้กับการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมของอาเซียน

อัตลักษณ์กับเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งห้าแห่ง มีความเชื่อมโยงกันสองประการคือความเชื่อมโยงอัตลักษณ์ในมิติด้านสถาปัตยกรรม ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศิลป์ ได้แก่ โบสถ์ วิหาร เจดีย์ วัดทางพุทธศาสนา และความเชื่อมโยงอัตลักษณ์ในมิติประวัติศาสตร์ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากความเชื่อต่อศาสนา การเมือง ดังนั้นควรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเมืองมรดกโลกทั้งสองเส้นทาง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้กับนักท่องเที่ยว
เรียบเรียจาก :อัตลักษณ์กับการท่องเที่ยว : ศึกษาการนำอัตลักษณ์มาใช้กับการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมของอาเซียน
ผู้วิจัย : ดร.บูรกรณ์ บริบรูณ์
ดาวน์โหลดฉบับสมบรูณ์ :  2560-014 บูรกรณ์ บริบูรณ์