อาชีพชาวบ้านท่าลาดในปัจจุบันมี 3 ลักษณะ คือ 1.ทำนาเลี้ยงวัว 2 การเป็นแรงงานนอกระบบหรือที่เรียกว่ารับจ้างทั่วไป และ 3 ค้าขายหรือประกอบกิจการส่วนตัว แม้อาชีพทำนาจะไม่สามารถทำรายได้ได้ดี เพราะปัญหาราคาข้าวตกต่ำ หนำซ้ำยังก่อเกิดหนี้สินจากการซื้อปุ๋ยซื้อยาฆ่าแมลง แต่ชาวบ้านก็ยังทำนาเพราะการทำนาคือส่วนหนึ่งของชีวิต ส่วนอาชีพรับจ้าง ก็ถือว่าสามารถนำรายได้มาจุนเจือครอบครัวในชีวิตประจำวันได้ดี ในขณะที่อาชีพเลี้ยงวัวขายนี้เป็นอาชีพยอดฮิตในปัจจุบันของชาวบ้านซึ่งสามารถสร้างเงินก้อนโตให้กับชาวบ้านได้เลย แต่กว่าจะได้เงินก้อนโตจากการขายวัวก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าวัวจะโตจนสามารถขายได้ราคาดี ในขณะที่อาชีพทำกิจการส่วนตัวเช่น ค้าขาย ก็มีให้เห็นในหมู่บ้านแต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะว่าต้องมีเงินลงทุนพอสมควร และก็ตลาดหรือลูกค้าก็เป็นเพียงคนในชุมชน จึงมีลักษณะค้าขายพอได้อยู่ได้กิน ไม่ถึงกับมีกำไรมากมาย
อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรโดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ไว้ขาย ไม่มีเพียงการเลี้ยงวัวอย่างเดียว ตอนนี้ได้มีบางคนหันมาทดลองเลี้ยงกบเพื่อขายลูกกบไปประกอบเป็นอาหารเมนูอร่อยของชาวอีสาน ซึ่งกลุ่มลูกค้าก็เป็นคนในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง ในหมู่บ้านท่าลาดนี้ ลุงอ๊อด เป็นคนหนึ่งที่ได้ลองเลี้ยงกบขายลูกกบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลุงเองก็ไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นการลองผิดลองถูก ความสำเร็จและความผิดหวัง จึงเป็นประเด็นที่ผู้เขียน สนใจใคร่รู้ ถึงการต่อสู้ ความอดทนและมุ่งมั่นในการประกอบอาชีพเลี้ยงกบของลุงอ๊อดคนนี้
จุดเริ่มต้นแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงกบ
ลุงอ๊อดเคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จนเมื่อถึงคราวใกล้เกษียณอายุราชการ จึงเกิดความวิตกกังวลว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตและครอบครัวซึ่งต้องดูแลบุตรชายสองคนและภรรยา การพูดคุยหาแนวทางกับลุงมิตรซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเช่นเดียวกัน โดยลุงมิตรได้แนะนำว่า “ลองเลี้ยงกบขายดูสิ รายได้ดีมีตลาดรองรับ” ซึ่งครั้งหนึ่งลุงมิตรเคยไปดูงานมาแล้วในช่วงที่รับราชการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นเมื่อเกษียณอายุจากการเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลุงอ๊อดจึงเริ่มต้นทำอาชีพเลี้ยงกบขายลูกกบ โดยมีเงินลงทุนจากเงินที่เก็บออมไว้ในช่วงเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประจวบกับมีพื้นที่นามีน้ำคลองใหญ่ผ่าน เห็นว่าเหมาะแก่การเลี้ยงกบขาย
ความสำเร็จและความผิดหวัง
ในปีแรกถือเป็นการเริ่มต้นเล็กๆและไปได้สวย แม่พันธุ์พ่อพันธุ์กบมีลูกกบออกมาและสามารถขายลูกกบได้เรื่อยๆ สร้างรายได้และกำลังใจให้กับลุงอ๊อดและครอบครัวได้เป็นอย่างดี แต่ต่อมาเมื่อปีที่ สอง ซึ่งเป็นปีที่ลุงอ๊อดและครอบครัวเกิดความหดหู่ท้อแท้ใจ อันเนื่องจาก ลูกกบที่โตได้เพียง 13 วัน ทั้ง 7 คอกกลับนอนตายลอยบนน้ำ ความสูญเสียครั้งนี้ประมาณ 7 หมื่นบาทซึ่งถือว่ามากพอสมควร ลุงอ๊อดและครอบครัวรู้สึกเสียใจและท้อแท้ใจอย่างมาก และไปปรึกษากับญาติๆว่า จะไม่ทำแล้วสำหรับอาชีพเลี้ยงกบนี้
กำลังใจให้สู้ต่อ
ความเครียด ความเสียใจและพลังใจในการที่ทำอาชีพเลี้ยงกบ ค่อยๆหมดลงไปเรื่อยๆ จนมีอยู่วันหนึ่งในช่วงเวลาของการทานอาหารเย็นร่วมกันของครอบครัว น้องแมคซึ่งเป็นลูกชาย ก็พูดขึ้นว่า “เรามีเงินใช้ก็เพราะเลี้ยงกบขาย ถ้าเราหยุดไม่ทำต่อเราจะทำอะไรกิน” คำพูดนี้ ทำให้ลุงอ๊อดหวนกลับไปดูวันเริ่มต้นดีๆในปีแรกที่เขาขายลูกกบได้ดี และลืมปีที่สองซึ่งเป็นปีที่ลูกกบตายพร้อมกัน 7 คอก พร้อมกับเห็นแววตาที่น่าสงสารของลูกและภรรยา ลุงอ๊อดเลยพูดกับครอบครัวว่า “ เอาหละไม่เลิกก็ไม่เลิก”
หลังจากนั้นการเรียนรู้เพื่อแสวงหาวิธีแก้ปัญหาลูกกบตายก็เริ่มขึ้น ลุงอ๊อดได้ไปสอบถามกับชาวบ้านคนอื่นๆในหลายๆหมู่บ้านที่เลี้ยงกบว่าปัญหาลูกกบตายนี้จะแก้ไขอย่างไร ซึ่งสรุปได้ว่า สาเหตุเกิดจากแม่พันธุ์พ่อพันธุ์กบที่แก่ ส่งผลต่อความไม่แข็งแรงของลูกกบ เมื่อเป็นดังนั้นลุงอ๊อดจึงได้ขายกบที่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่แก่แล้ว และซื้อแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์กบที่มีอายุที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดลูกกบที่มีสุขภาพเเข็งแรง และไม่ประสบปัญหาลูกกบตายอีกต่อไป
ความผิดหวังในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญในการประกอบอาชีพเลี้ยงกบของลุงอ๊อด แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว และภาพแห่งความสำเร็จที่ลุงอ๊อดเคยประสบมา สามารถสร้างพลังใจที่จะดำเนินกิจการนี้ต่อไป จนขณะนี้มีบ่อกบเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เปิดรับเครือข่าย เพื่อขยายฐานการตลาด
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ความโชคดีได้เดินทางมาถึงครอบครัวลุงอ๊อด เมื่อทางอำเภอได้ไปสำรวจหมู่บ้านต่างๆเพื่อที่จะหาพื้นที่ทดลองโครงการปลูกข้าวโพด เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบให้กับเกษตรกร หันมาปลูกข้าวโพดหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งพื้นที่นาลุงอ๊อดได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่ทดลองเพราะมีแหล่งน้ำคลองไหลผ่าน รวมถึงการมีความคุ้นเคยกับข้าราชการในที่ว่าการอำเภอพังโคน ในสมัยที่ลุงอ๊อดเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โครงการทดลองปลูกข้าวโพดของทางราชการซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาลนั้นลุงอ๊อดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด กระบวนการต่างๆตั้งแต่การเตรียมดิน เมล็ดพันธุ์ และค่าจ้างสำหรับดำเนินการเตรียมดินและหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดได้รับการสนับสนุนจากทางราชการ ลุงอ๊อดลงทุนแค่แรงกาย ดูแลน้ำและวัชพืช ผลผลิตต่างๆก็เป็นของลุงอ๊อดที่จะสามารถนำไปขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เลยโดยไม่ต้องหักให้กับทางราชการ


ในช่วงการเปิดโครงการใหม่ๆ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรได้เดินทางมายังบ้านลุงอ๊อดเพื่อเปิดงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเจอในหมู่บ้านที่จะมีรัฐมนตรีเดินทางมายังหมู่บ้านท่าลาดซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แน่นอนการเดินทางมาของบุคคลระดับประเทศ ย่อมมีผู้ร่วมติดตามทั้งจากกรุงเทพ และข้าราชการในเขตจังหวัดสกลนคร เพื่อมาดูแปลงข้าวโพดซึ่งเป็นโครงการของรัฐ ผลพลอยได้จากโครงการนี้ ทำให้กิจการเลี้ยงกบขายมีออเดอร์เพิ่มมากขึ้น และมีคนมาดูงานที่ฟาร์มกบลุงอ๊อดอยู่เรื่อยๆ ส่งผลดีต่อการขยายฐานการตลาดให้กว้างมากขึ้น
ความผิดหวังหรือสมหวังก็เป็นของไม่แน่นอนแต่การสร้างและให้กำลังใจตนเองและคนรอบข้างเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า สำหรับท่านใดสนใจที่จะไปศึกษาดูงานและศึกษาเรียนรู้กระบวนการทำอาชีพเลี้ยงกบจากลุงอ๊อด สามารถเข้าชมได้ทุกวัน

ผู้เขียนเองรู้สึกยินดีที่เห็นชาวบ้านหันมาสร้างงานสร้างเงินในหมู่บ้านตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนมาขายแรงงานที่กรุงเทพซึ่งคุณภาพชีวิตดีน้อยกว่าการอยู่กับครอบครัวในหมู่บ้านที่แสนอบอุ่น ขอเป็นกำลังใจให้ลุงอ๊อดและครอบครัวต่อไป